ข้อตกลงและเงื่อนไข
ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการบัตรบิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส
เงื่อนไขของผลิตภัณฑ์บัตรบิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส
ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงปฏิบัติตามเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์บัตรบิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส (“บัตร”) ดังนี้
- บัตรนี้สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการเสมือนเงินสด ที่ห้างบิ๊กซี บิ๊กซีมินิ และร้านยาเพรียว ทุกสาขาตามมูลค่าคงเหลือในบัตร
- บัตรนี้ไม่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการประเภทบัตรกำนัล บัตรโทรศัพท์ สินค้าในกลุ่มสุรา ยาสูบ ศูนย์อาหาร การชำระบิล และร้านค้าในบริเวณพื้นที่เช่าของบิ๊กซี
- หากสินค้ามีมูลค่าสูงเกินกว่ามูลค่าคงเหลือในบัตร ลูกค้าจะต้องชำระส่วนที่เหลือด้วยเงินสด หรือบัตรเครดิต หรือวิธีชำระเงินอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด
- ผู้ถือบัตรสามารถเติมมูลค่าในบัตรได้ที่จุดบริการชำระเงินของบิ๊กซี บิ๊กซีมินิ และร้านยาเพรียว ทุกสาขา โดยมูลค่าคงเหลือในบัตรสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท และภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทกำหนด ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถตรวจสอบมูลค่าคงเหลือในบัตรได้ที่จุดบริการลูกค้าบิ๊กซี
- ผู้ถือบัตรไม่สามารถโอนหรือรวมมูลค่าระหว่างบัตร แลกเปลี่ยน คืนหรือทอนเป็นเงินสดหรือสิ่งตอบแทนใดๆ ได้
- บัตรนี้มีอายุ 5 ปี นับแต่วันที่ออกบัตร ผู้ถือบัตรสามารถตรวจสอบวันหมดอายุของบัตรได้ที่จุดบริการลูกค้าบิ๊กซี ผู้ถือบัตรจะต้องใช้บัตรภายในกำหนดอายุของบัตร เมื่อบัตรหมดอายุแล้ว มูลค่าคงเหลือในบัตรจะไม่สามารถนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ และ/หรือไม่สามารถขอเปลี่ยน ทอน หรือคืนเป็นเงินสดหรือสิ่งตอบแทนใดๆ ได้
- กรณีบัตรไม่มีการเคลื่อนไหวติดต่อกันมากกว่า 2 ปี นับจากวันที่เปิดใช้หรือนับจากวันที่มีการใช้ครั้งล่าสุด บริษัทจะคิดค่าธรรมเนียมการรักษาบัตรสูงสุดไม่เกิน 20 บาทต่อเดือน โดยจะหักจากมูลค่าคงเหลือในบัตร รวมทั้งบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการใดๆ ตามที่บริษัทเห็นสมควร
- ผู้ถือบัตรจะไม่ซื้อและ/หรือใช้บัตรเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ/หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
- บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการรับคืน ปฏิเสธการรับชำระ ระงับ ยกเลิก ทดแทน และ/หรือชดเชยความเสียหาย กรณีบัตรชำรุด มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับบัตรโดยไม่ได้แจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้า บัตรสูญหาย ถูกโจรกรรม หรือมีการใช้บัตรไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และ/หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
- บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการรับคืนสินค้า ที่มีการใช้บัตรในการชำระเงินค่าสินค้า ในกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่นำบัตรที่ใช้ชำระเงินค่าสินค้ามาแสดงพร้อมการคืนสินค้า โดยเงื่อนไขการรับคืนสินค้าเป็นไปตามที่บริษัทกำหนดเท่านั้น
- ผู้ถือบัตรตกลงยินยอมว่าเงื่อนไขการซื้อและ/หรือการใช้บัตรนี้ ให้เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อกำหนดและเงื่อนไข อัตราค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือ รายละเอียดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัตร รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลงแก้ไขดังกล่าวได้บนเว็บไซต์ของบริษัท https://corporate.bigc.co.th/bigcgiftcardplus-terms-and-conditions และผู้ถือบัตรตกลงสละสิทธิ์ในการโต้แย้งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้บัตร
- ผู้ถือบัตรสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือแจ้งปัญหาการใช้งานบัตร ณ จุดบริการลูกค้าบิ๊กซี ทุกสาขา ในเวลาทำการของสาขานั้นๆ หรือ Call Center 1756
- ผู้ถือบัตรรับทราบและยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ถือบัตรภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขตามกฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้บริการแก่ผู้ถือบัตร โดยผู้ถือบัตรสามารถศึกษารายละเอียดได้จากนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ถือบัตร Big C Gift Card Plus บนเว็บไซต์ของบริษัท https://corporate.bigc.co.th/bigcgiftcardplus-terms-and-conditions หรือช่องทางอื่นตามที่บริษัทประกาศ
- บริษัทถือว่าผู้ถือบัตรได้อ่านและยอมรับเงื่อนไขของบัตร และตกลงผูกพัน ปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขนี้ ภายใต้บัตรทั้งที่มีอยู่ในขณะนี้ และ/หรือที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในภายหน้าทุกประการ
- บริษัทขอสงวนสิทธิ์และการปฏิเสธความรับผิดทุกกรณี สำหรับการจัดจำหน่ายบัตรบิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส ในช่องทางที่บริษัทไม่ได้กำหนดไว้ และ/หรือมีการนำบัตรบิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส ไปจัดจำหน่ายเพื่อกระทำค้ากำไร
บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล มีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลของท่านผู้ถือบัตรบิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส (“ท่าน” หรือ “ผู้ถือบัตร”) เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้บริการและปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของการให้บริการผลิตภัณฑ์บิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส (“การให้บริการ”) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในข้อ 1 ด้านล่าง และเนื่องจากข้อมูลดังกล่าวของท่าน มีลักษณะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (“พ.ร.บ.”) เพื่อให้การดำเนินการที่เกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้เป็นไปตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ. บริษัทจึงจัดทำเอกสารฉบับนี้ขึ้น เพื่อให้ท่านได้รับทราบและเข้าใจสิทธิของท่านตามกฎหมาย รวมทั้งเหตุผลที่บริษัทจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โปรดอ่านรายละเอียดดังต่อไปนี้โดยละเอียดและทำความเข้าใจเพื่อประโยชน์ในการใช้สิทธิใดๆ ของท่าน
-
ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาในการเก็บรักษา และวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวโดยบริษัท
เพื่อให้ท่านได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากการให้บริการ และเพื่อให้บริษัทสามารถให้บริการแก่ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ บริษัทจะเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้-
ประเภทของบุคคล
- ผู้ถือบัตร
-
ข้อมูลที่เก็บรวบรวม
- ชื่อ-สกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตร
- บันทึกการสนทนา ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานทางแอปพลิเคชัน และข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยคุกกี้ (Cookies) ตามความจำเป็น
-
วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
- เพื่อการติดต่อและให้บริการกับผู้ถือบัตร ซึ่งรวมถึงการแจ้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ
- เพื่อใช้ในการระบุตัวตนและยืนยันการให้สิทธิประโยชน์ และ/หรือการขอใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ของผู้ถือบัตร
- เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล และศึกษาพฤติกรรมของผู้ถือบัตร รวมทั้งการติดต่อสอบถามความเห็นของผู้ถือบัตรเกี่ยวกับการบริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพื่อการวิจัย การทำการตลาด กิจกรรมส่งเสริมการขาย การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพสินค้าและการให้บริการของบริษัท ในกรณีที่ผู้ถือบัตรให้ความยินยอมแก่บริษัท
- เพื่อใช้สิทธิทางกฎหมาย หรือ เพื่อปฏิบัติการที่จำเป็นตามกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ
-
ฐานความชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคล
- บริษัทอาจจัดเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอาจอาศัย
- ฐานทางสัญญา เพื่อการเข้าทำสัญญาหรือปฏิบัติตามสัญญากับท่าน
- ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท และ/หรือ
- ฐานการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท
- ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูล
10 ปี นับจากวันที่ผู้ถือบัตรยกเลิกผลิตภัณฑ์บิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส หรือนับจากวันที่ผลิตภัณฑ์บิ๊กซี กิ๊ฟการ์ด พลัส หมดอายุ หรือ ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แล้วแต่เวลาใดจะสิ้นสุดลงในภายหลัง
-
ประเภทของบุคคล
- สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- โปรดทราบว่าท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น มีสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ตามรายละเอียดที่ปรากฏใน เอกสารแนบท้าย 1
- การแก้ไขเปลี่ยนแปลงหนังสือแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
- บริษัทอาจแก้ไข เพิ่มเติม หรือปรับปรุงหนังสือฯ ฉบับนี้ รวมถึงเอกสารแนบท้ายหนังสือฯ ฉบับนี้ให้เป็นปัจจุบันเป็นครั้งคราว และจะมีผลทันทีนับจากประกาศแก้ไขเปลี่ยนแปลงดังกล่าวลงในเว็ปไซต์ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทขอความร่วมมือให้ผู้ถือบัตรอ่านหนังสือฯ ฉบับนี้โดยละเอียด และหมั่นตรวจสอบว่าทางบริษัทได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดบ้างในหนังสือฯ ฉบับนี้
- การติดต่อบริษัท
- หากมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับหนังสือฯ ฉบับนี้ ท่านสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือแจ้งความประสงค์ของท่านต่อบริษัทเพื่อใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ได้ที่ศูนย์บริการ Call Center 1756
เอกสารแนบ 1
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ดังต่อไปนี้
1. สิทธิในการขอถอนความยินยอม
ในกรณีที่บริษัทมีการขอและได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อประโยชน์ในการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิในการแจ้งขอถอนความยินยอมในการให้บริษัทใช้ข้อมูลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ
2. สิทธิในการขอเข้าถึงและรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจัดเก็บไว้
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอเข้าถึงและรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้จัดเก็บไว้ได้ ทั้งนี้ โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
3. สิทธิในการขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับจากแหล่งอื่น
ในกรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งอื่นซึ่งไม่ใช่จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง หากบริษัทจะใช้ข้อมูลดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว (เว้นแต่เป็นกรณีที่กฎหมายยกเว้นให้ไม่ต้องแจ้ง) ในกรณีนี้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถสอบถามและขอให้บริษัทเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้
4. สิทธิในการขอรับ และขอให้บริษัทโอนย้าย หรือส่งต่อข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ในกรณีที่บริษัทมีการปรับให้ข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานได้โดยอุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถส่งต่อได้โดยวิธีการอัตโนมัติ
การโอนย้ายหรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลตามข้อนี้ หมายถึงกรณีที่ข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลถูกจัดเก็บอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการส่งต่อนั้นสามารถทำได้ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ไม่รวมถึงการให้บริษัทเป็นผู้นำส่ง หรือจัดส่งข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในรูปแบบอื่น
5. สิทธิในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ในกรณีต่อไปนี้
(1) หากการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นการเก็บรวบรวมได้ โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องขอความยินยอมเนื่องจากเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือ
(2) กรณีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง
6. สิทธิในการขอให้บริษัททำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเคยได้ให้ไว้กับบริษัทกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถใช้ระบุตัวตนได้
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถแจ้งให้บริษัททำลายข้อมูลส่วนบุคคลของตน และ/หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ตนได้ให้ไว้กลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุถึงตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้ตามวัตถุประสงค์
(2) เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลถอนความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้น และบริษัทไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
(3) เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูล และบริษัทไม่มีเหตุผลที่จะใช้ปฏิเสธคำขอได้ หรือ
(4) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
7. สิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถแจ้งให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้ทันที ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในระหว่างการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน หรือปรับปรุงข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้เป็นข้อมูลปัจจุบันตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
(2) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอาจถูกลบ หรือทำลายได้ แต่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลแจ้งขอให้ระงับการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลนั้น แทนการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล
(3) เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลนั้นหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นแล้ว แต่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีความจำเป็นต้องขอให้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือ
(4) เมื่อบริษัทอยู่ในระหว่างการพิจารณาการใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
8. สิทธิในการขอให้บริษัทปรับปรุงข้อมูลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และเป็นข้อมูลที่ตรงตามสภาพปัจจุบัน
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ให้ไว้กับบริษัท หรือที่บริษัทได้เก็บรวบรวมไว้ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถแจ้งให้บริษัทดำเนินการแก้ไข ปรับปรุงข้อมูลดังกล่าวได้ทุกเมื่อ
9. สิทธิในการร้องเรียนในกรณีที่พบว่ามีการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลพบว่าบริษัท และ/ หรือลูกจ้างของบริษัทมีการดำเนินการใดๆ ที่ฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถแจ้งการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องนั้นมายังบริษัท และ/หรือ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ ตามที่รายละเอียดที่ปรากฏใน ข้อ 4 ของหนังสือฉบับนี้
อนึ่ง โปรดทราบว่าเมื่อบริษัทได้รับแจ้งความประสงค์ในการใช้สิทธิใดๆจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะพิจารณาคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อดำเนินการที่เหมาะสมต่อไปทั้งนี้ภายในไม่เกิน [30 วัน] นับแต่วันที่ได้รับคำขอดังกล่าว ทั้งนี้บริษัทขอสงวนสิทธิในการปฏิเสธคำขอใช้สิทธิดังกล่าวของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หากเป็นกรณีที่การใช้สิทธินั้นไม่เป็นไปตามข้อกำหนดตามกฎหมาย หรือหากบริษัทมีความจำเป็นและสิทธิตามกฎหมายที่จะปฏิเสธคำขอดังกล่าวได้